2025 แล้ว…ยังขายหน้าเดียวได้อยู่เหรอ?
2025 เมื่อ “Multi-Offer” คือกลยุทธ์ใหม่ที่คลินิกความงามต้องรู้
ปี 2025 Multi-Offer ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็วกว่าแอปฯ มือถืออัปเดต เจ้าของคลินิกที่ยังยึดติดกับการเสนอ “แพ็กเกจหน้าเดียว” หรือ “ทางเลือกเดียว” ให้ลูกค้า คงต้องทบทวนโมเดลธุรกิจใหม่โดยด่วน
เพราะในปี 2025 “ความหลากหลายของข้อเสนอ (Multi-Offer)” ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาด แต่มันคือ กลไกสำคัญที่กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ เพิ่ม Conversion และยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์ของคลินิก
ปี 2025 ทำไมข้อเสนอเดียวไม่พออีกต่อไป?

ลองนึกภาพว่าคุณเดินเข้าร้านกาแฟ แล้วมีเมนูเดียวคือ “ลาเต้ร้อน 80 บาท”
บางคนอาจซื้อ แต่บางคนอาจกำลังอยากได้ลาเต้เย็น ไซส์ใหญ่ หรือเลือกนมทางเลือกอย่างโอ๊ตนม
ลูกค้าคลินิกก็เช่นกัน — มีความต้องการ ความกังวล และงบประมาณที่แตกต่างกันออกไป
“คลินิกที่ขายข้อเสนอเดียว กำลังปิดโอกาสเข้าถึงลูกค้าอีกหลายกลุ่มโดยไม่รู้ตัว”
จากข้อมูล Insight ที่ TUG THINK สำรวจในหมู่เจ้าของคลินิก 50 รายพบว่า คลินิกที่ปรับการเสนอขายจากแบบ Single Package ไปเป็น Multi-Offer มียอดปิดการขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 35–50% ภายใน 3 เดือนแรก
Multi-Offer คืออะไร?
Multi-Offer คือการวางโครงสร้างข้อเสนอให้ลูกค้ามี “ตัวเลือก” ที่เหมาะกับเขา มากกว่าการขายแบบ one-size-fits-all
ไม่ใช่แค่มี “แพ็กเกจเล็ก กลาง ใหญ่” เท่านั้น แต่รวมไปถึงการคิดข้อเสนอแบบ:
- ตามงบประมาณ: Budget / Premium / VIP
- ตามความเร่งด่วน: ทางเลือกด่วน-เห็นผลเร็ว VS. คอร์สระยะยาว
- ตามความกล้าเสี่ยง: โปรลองครั้งแรก VS. คอร์สระยะยาวแบบล็อกผล
- เสริมบริการ: เช่น add-on หัตถการ, การดูแลหลังทำ, หรือบริการ VIP Care
การมี Multi-Offer ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่า “คลินิกนี้เข้าใจฉัน”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความไว้วางใจ ซึ่งนำไปสู่การจองคิวในที่สุด
เคสตัวอย่าง: คลินิก A ที่ยอดจองพุ่งหลังใช้ Multi-Offer
ก่อนหน้านี้ คลินิก A ขายฟิลเลอร์ Restylane เพียงแพ็กเกจเดียว
ราคา 7,999.- พร้อมแถม After Care ทั่วไป
หลังจากทีมการตลาดเสนอให้ปรับเป็น Multi-Offer ดังนี้:
- Restylane Basic – 7,999.-
- Restylane + Botox ปรับกรอบหน้า – 13,900.-
- Restylane + โปรแกรมดูแลหลังทำ (Bright & Firm) – 15,900.-
- Restylane VIP – มีคิวคุณหมอเฉพาะทาง + ดูแลติดตามหลังทำ – 18,900.-
เพียง 2 สัปดาห์หลังโพสต์ข้อเสนอแบบใหม่นี้ ยอดจองเพิ่มขึ้น 43%
ที่สำคัญ ลูกค้าเลือกข้อเสนอ ระดับกลาง-สูง ถึง 61% ของยอดจองทั้งหมด
แล้วควรเริ่มทำ Multi-Offer ยังไง?
1. สำรวจ Pain Point และ Budget ของลูกค้า
เริ่มจากการตั้งคำถามว่า ลูกค้าคุณมีกำลังซื้อระดับไหน?
เขากังวลอะไรเป็นพิเศษ? ต้องการผลลัพธ์เร็วหรือช้าแต่มั่นใจ?
2. ออกแบบข้อเสนอแบบมีระดับ (Tier)
- Budget Tier: เหมาะกับ First-time buyers
- Mid Tier: เพิ่มบริการที่คุ้มค่า
- Premium Tier: เน้นประสบการณ์และความเป็นส่วนตัว
3. เทสข้อเสนอผ่านช่องทางที่ต่างกัน
ยิง Ads A/B Test, ดูผลลัพธ์จากแชทแอดมิน หรือโพสต์เปรียบเทียบในโซเชียล
4. เทรนแอดมินให้เสนอขายแบบ “เลือก” แทน “ยัด”
“พี่ขออนุญาตแนะนำ 3 แพ็กเกจที่เหมาะกับผิวแบบของพี่นะคะ”
คำพูดแบบนี้ ช่วยให้ลูกค้าไม่รู้สึกถูกบังคับ แต่รู้สึกว่าตัวเอง “ได้เลือกเอง”
ตัวอย่างประเภท Multi-Offer ที่คลินิกควรพิจารณา
ประเภทข้อเสนอ | ตัวอย่าง |
💰 งบประมาณ | Basic / Premium / VIP |
⏱ ระยะเวลาเห็นผล | เห็นผลเร็ว (1 สัปดาห์) / คอร์สต่อเนื่อง (3 เดือน) |
🧖♀️ สไตล์ลูกค้า | สายปัง / สายธรรมชาติ / สายหน้าใส |
📦 บริการเสริม | เพิ่มหัตถการ / เพิ่ม After Care / แถมของใช้ |
จุดแข็งของคลินิกที่ทำ Multi-Offer
✅ เพิ่ม Conversion: ลูกค้ารู้สึกมีทางเลือก ตัดสินใจง่ายขึ้น
✅ สร้างความต่าง: คู่แข่งขายหน้าเดียว เราขาย 3 แบบ พร้อมเทียบจุดเด่น
✅ Upsell ง่าย: ลูกค้าหลายคนเต็มใจอัปเกรด เมื่อเห็นความคุ้มค่า
✅ ลดความลังเล: เพราะมีทางเลือกมากกว่าหนึ่ง
บทสรุป
“ขายหน้าเดียว” ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ในยุคที่ลูกค้ามีข้อมูลในมือ และมีคลินิกให้เลือกเป็นร้อย Multi-Offer คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วย ดึงดูดความสนใจ – ปิดการขาย – และสร้างความรู้สึกว่าแบรนด์ ‘เข้าใจ’ ลูกค้า
ในปี 2025 คลินิกที่อยู่รอด คือคลินิกที่ “เข้าใจลูกค้าเกินกว่าที่ลูกค้าจะพูดออกมา”
และการมีข้อเสนอที่หลากหลาย คือจุดเริ่มต้นของการเข้าใจนั้น
📩 สนใจให้ทีม TUG THINK ช่วยออกแบบข้อเสนอ Multi-Offer ให้คลินิกคุณ?
ทักหาเราได้เลยที่ LINE : @tugthink
🔍 เกี่ยวกับ TUG GROUP
TUG GROUP คือพันธมิตรด้านการตลาดด้านธุรกิจความงาม ที่เชื่อมโยงผู้ประกอบการกับเทคโนโลยีและกลยุทธ์การเติบโตระดับมืออาชีพ เราคัดสรรข้อมูล เทรนด์ และเครื่องมือที่ใช้งานได้จริง เพื่อให้คุณพร้อมก้าวสู่ความสำเร็จในโลกธุรกิจสุขภาพและความงาม